เมนู

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่ชนิดเดียว
รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านั้น คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์
ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่
เคยมีในมหาสมุทร เป็นข้อที่ 7 ที่พวกอสูรพบเข้าแล้ว พากันชื่นชมใน
มหาสมุทร.
[456] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์
ใหญ่ ๆ สัตว์ใหญ่ ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ
ปลาติมิติมิงคละ ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร
มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อยโยชน์ก็มี สี่ร้อยโยชน์ก็มี
ห้าร้อยโยชน์ก็มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใหญ่ ๆ
สัตว์ใหญ่ ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติ-
มิงคละ ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร มีลำตัว
ตั้งร้อยโยชน์ก็มี . . . ห้าร้อยโยชน์ก็มี แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีใน
มหาสมุทร เป็นข้อที่ 8 ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร 8 อย่างนี้แล
ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมอยู่ในมหาสมุทร.

ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัย 8 ประการ


[457] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้
มี 8 อย่างเหมือนกันแล ที่พวกภิกษุพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้
8 อย่าง เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับ
มิใช่ลึกมาแต่เดิมเลย สิกขาตามลำดับ กิริยาตามลำดับ ปฏิปทาตามลำดับ

ในธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มิใช่แทงตลอดอรหัตผลมาแต่เดิมเลย ข้อที่สิกขา
ตามลำดับ กิริยาตามลำดับ ปฏิปทาตามลำดับ ในธรรมวินัยนี้ มิใช่แทงตลอด
อรหัตผลมาแต่เดิมเลย นี้เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อ
ที่ 1 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[458] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรตั้งอยู่ตาม
ธรรมดาไม่ล้นฝั่ง สาวกทั้งหลายของเราก็เหมือนกัน ไม่ล่วงละเมิดสิกขาบท
ที่เราบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้อที่สาวกทั้งหลาย
ของเราไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุ
แห่งชีวิต แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 2
ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[459] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับ
ซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำ
ซากศพที่ตายแล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มี
ธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่
สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน
โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง ก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น
ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง
ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใด
เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการ
กระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็น
พรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับ
บุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุ

สงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้
ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 3 ที่ภิกษุทั้งหลายพบ
เห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[460] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำใหญ่บางสาย คือ
แม่น้ำ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนาม
และโคตรเดิมเสียถึงซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เหมือกัน ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและตระกูลเดิมเสีย ถึงซึ่งอัน
นับว่า สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทีเดียว ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรม
วินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและตระกูลเดิมเสีย ถึงซึ่งอันนับว่าสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตรทีเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้
เป็นข้อที่ 4 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชินชมในธรรมวินัยนี้.
[461] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำบางสายในโลกที่
ไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความ
พร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น ภิกษุจำนวน
มากก็เหมือนกัน ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่อง
หรือความเต็มของนิพพานธาตุย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ข้อที่ภิกษุจำนวน
มาก ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความ
เต็มของนิพพานธาตุย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์
ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 5 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชม
ในธรรมวินัยนี้.

[462] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรสเค็มรส
เดียว ธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มีวิมุตติรส รสเดียว ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีวิมุตติ
รส รสเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 6 ที่
ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[463] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรัตนะมาก
มีรัตนะมิใช่นิดเดียว รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้ว
มณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่อย่างเดียว รัตนะในธรรม
วินัยนั้นเหล่านั้น คือ สติปัฎฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์
5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ข้อที่ธรรมวินัยนี่ มีรัตนะมาก
มีรัตนะมิใช่อย่างเดียว รัตนะในธรรมวินัยนั้นเหล่านั้น คือ สติปัฏฐาน 4. . .
อริยมรรคมีองค์ 8 แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็น
ข้อที่ 7 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[464] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัย
ของสัตว์ใหญ่ ๆ สัตว์ใหญ่ ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ. .อสูร
นาค คนธรรพ์ มีอยู่ในมหาสมุทร มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์
ก็มี สามร้อยโยชน์ก็มี สี่ร้อยโยชน์ก็มี ห้าร้อยโยชน์ก็มี ธรรมวินัยนี้ก็เหมือน
กัน เป็นที่อยู่อาศัยของคนใหญ่ ๆ คนใหญ่ ๆ ในวินัยนั้นเหล่านี้ คือ
โสดาบัน ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำ
ให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล อนาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล อรหันต์
ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นอรหันต์ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนใหญ่
คนใหญ่ ๆ ในธรรมวินัยนั้นเหล่านี้ คือ โสดาบัน. . . ผู้ปฏิบัติเพื่อความ

เป็นอรหันต์ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมี ในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 8
ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ 8 ประการ
นี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้.
[465] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ทรง
เปล่งอุทานในเวลานั้น ว่าดังนี้

อุทานคาถา


สิ่งที่ปิดไว้ ย่อมรั่วได้ สิ่งที่เปิด ย่อม
ไม่รั่ว เพราะฉะนั้น จงเปิดสิ่งที่ปิด เช่นนี้
สิ่งที่เปิดนั้นจักไม่รั่ว.

[466] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่แสดงปาติโมกข์
ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเธอพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่ตถาคตจะพึงทำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่
ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุมีอาบัติ ไม่พึงฟังปาติโมกข์
รูปใดฟังต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตให้งดปาติโมกข์ แก่ภิกษุผู้มีอาบัติติด
ตัวฟังปาติโมกข์.

วิธีงดปาติโมกข์


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงงดอย่างนี้ เมื่อถึงวันอุโบสถ 14 หรือ
15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัว
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์
ดังนี้ ปาติโมกข์เป็นอันงดแล้ว.